
Folio x มูลนิธิสืบฯ SPIRITS OF THE WILD เสียงแห่งป่า ที่เราไม่ควรปล่อยให้เงียบหาย
Share
SPIRITS OF THE WILD
เสียงแห่งป่า ที่เราไม่ควรปล่อยให้เงียบหาย
ทุกครั้งที่เราก้าวเท้าเข้าสู่ผืนป่า สิ่งที่ได้ยิน อาจไม่ใช่แค่เสียงนกร้อง ลมพัด หรือเสียงเท้าของเราที่เหยียบย่ำใบไม้ แต่คือ "เสียงของชีวิต" ชีวิตที่เปราะบาง แต่อยู่ร่วมกันอย่างสมดุล
เสียงที่เล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์เสียงที่กำลังบอกว่า...ยังมีบางชีวิตที่ต้องได้รับการปกป้องก่อนจะสายเกินไป
ในโปรเจกต์พิเศษ SPIRITS OF THE WILD Folio ร่วมกับ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เพื่อสร้างพื้นที่เล่าเรื่องให้กับ "เสียงของธรรมชาติ" เสียงที่มักถูกกลบด้วยความเร่งรีบของมนุษย์ เสียงที่สมควรจะได้รับการรับฟัง ด้วยหัวใจที่อ่อนโยน
Folio ในฐานะแบรนด์เล็กๆอยากเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อ “เสียงแห่งป่า” นี้ ผ่านการออกแบบที่เรียบง่าย ใช้งานได้จริง และมีคุณค่าทางใจ ให้ทุกการใช้งานของคุณ ไม่ใช่แค่เรื่องของไลฟ์สไตล์ แต่คือการมีส่วนร่วมในการประกาศให้ทุกคนหันมาปกป้องสิ่งมีชีวิตที่ไร้คำพูดและอนุรักษ์ธรรมชาติที่ยังคงสวยงาม
เราเชื่อว่างานออกแบบไม่ควรมีแค่ความสวยงามแต่ควรมีความหมายและธรรมชาติก็ควรได้รับการเคารพ ไม่ใช่เพียงเป็นฉากหลังของการท่องเที่ยว แต่เป็นหัวใจของการเดินทางอย่างแท้จริง
RAIN COVER : เมื่อเสียงของธรรมชาติอยู่บนบ่าเรา
ผ้าคลุมกันฝนสำหรับเป้เดินป่าถูกออกแบบขึ้นพร้อมลวดลายกราฟฟิกที่ได้แรงบันดาลใจจากสัตว์ป่าหายาก 3 ชนิด ซึ่งล้วนเป็นตัวแทนของระบบนิเวศที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ
ควายป่าห้วยขาแข้ง : ผู้พิทักษ์ผืนป่าตะวันตก
ควายป่าห้วยขาแข้ง คือควายป่าฝูงสุดท้ายของประเทศไทย สัตว์สง่างามที่ไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์แข็งแรงน่าเกรงขาม แต่ยังเป็น ตัวบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ในผืนป่าตะวันตก พวกมันคอยทำหน้าที่เหมือน "ผู้พิทักษ์" แห่งผืนป่า—ทว่าทุกก้าวที่ควายป่าเดินกลับแคบลงเรื่อย ๆ จากแรงกดดันที่มนุษย์สร้างขึ้น
ควายป่า หรือ มหิงสา (Wild Water Buffalo) มีรูปร่างใหญ่กว่าควายบ้าน ลำตัวกำยำ เขาโค้งกว้างกว่า และมีนิสัยที่ดุร้ายกว่ามาก ขนลำตัวเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลดำ ขาทั้งสี่ข้างมีสีขาวคล้ายสวมถุงเท้า และท่อนล่างของลำตัวมีลายสีขาวเป็นรูปตัววีโดดเด่น
ภาพจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
สัตว์กินพืชชนิดนี้มีเมนูโปรดหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหญ้า ยอดไม้ ใบไม้อ่อน หน่อไม้ หรือแม้แต่ต้นพงริมลำห้วย นอกจากนี้พวกมันยังมีพฤติกรรมพิเศษคือการกิน “ดินโป่ง” เพื่อเสริมแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
ปัจจุบันควายป่าคงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย คือที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี โดยพบการกระจายตัวตลอดแนวลำห้วยขาแข้ง ซึ่งมีประชากรไม่ถึง 50 ตัว นับเป็นฝูงสุดท้ายและมีสถานะเสี่ยงสูญพันธุ์อย่างยิ่ง
ภัยคุกคามสำคัญที่ควายป่าต้องเผชิญ ได้แก่ การสูญเสียถิ่นอาศัย การล่า การแย่งพื้นที่และทรัพยากร รวมถึงการผสมข้ามสายพันธุ์กับควายบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความบริสุทธิ์ทางพันธุกรรมโดยตรง
ควายป่าเป็นสัตว์ป่าสงวน ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562
ซึ่งหมายความว่า เราทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกัน “สงวนไว้อย่างยิ่ง” (ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร)
พญาแร้ง: นักทำความสะอาดของป่าและผู้รักษาสมดุลแห่งวัฏจักรชีวิต
พญาแร้ง คือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของระบบนิเวศพวกมันไม่ได้เพียงกำจัดซากสัตว์ แต่ยัง ควบคุมโรค และรักษาวัฏจักรแห่งความตายให้หมุนเวียนอย่างสมดุลแม้เสียงของพญาแร้งจะเงียบงัน…แต่การไม่มีอยู่ของพวกมัน อาจทิ้ง "เสียงสะเทือน" ที่ดังกว่าที่เราคิด
ภาพจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
พญาแร้งเป็นนกขนาดใหญ่ ลำตัวยาวประมาณ 80 เซนติเมตร เมื่อโตเต็มที่จะมีหัว คอ และเท้าเป็นสีแดง ขนตามลำตัวสีดำ ส่วนขนที่หน้าอกและโคนขาเป็นสีขาว แม้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "นกนักล่า" แต่พฤติกรรมของพญาแร้งต่างออกไป เพราะมันจะไม่ล่าเหยื่อ แต่รอจนสัตว์ตาย ก่อนจะเข้าไปจัดการกับซากเหล่านั้น—ทำหน้าที่คล้าย "หน่วยเก็บขยะของป่า"
ความพิเศษของพญาแร้งอยู่ที่ ระบบย่อยอาหาร ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำย่อยที่มีฤทธิ์กรดแรงและโปรโตซัวที่สามารถย่อยเชื้อโรคร้ายแรงอย่าง โรคปากและเท้าเปื่อย และ พิษสุนัขบ้า ได้หมดจด จึงช่วยหยุดยั้งวงจรการแพร่กระจายของโรคในสัตว์ป่า ถือเป็นสัตว์ที่มีบทบาทสำคัญในแง่ของ สุขอนามัยเชิงนิเวศ
ถ้ามีพญาแร้งที่ไหน นั่นหมายความว่าต้องมีซากสัตว์ และแสดงว่าพื้นที่นั้นยังมีสัตว์ผู้ล่าอาศัยอยู่ พญาแร้งจึงถือเป็น “ดัชนีวัดความอุดมสมบูรณ์” ของผืนป่าอย่างแท้จริง
ในปัจจุบันแม้จะสูญพันธุ์ไปจากป่าธรรมชาติของประเทศไทยนานหลายทศวรรษ แต่ในวันนี้กำลังมีความหวังเกิดขึ้นอีกครั้ง…โครงการฟื้นฟูพญาแร้งในถิ่นอาศัยของประเทศไทย กำลังดำเนินไปด้วยความร่วมมือจาก 4 องค์กรหลัก ได้แก่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, องค์การสวนสัตว์ฯ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
พญาแร้งที่ถูกเลี้ยงดูในกรงเลี้ยงกำลังได้รับการฟื้นฟูและขยายพันธุ์ เพื่อหวังว่าในวันหนึ่ง…
พวกมันจะได้กลับไปโบยบินอยู่เหนือผืนป่าไทยอีกครั้ง (ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร)
กวางผา: สัญลักษณ์แห่งภูเขาสูง ผู้เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลง
กวางผา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ม้าเทวดา” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมผู้เป็นเหมือน ตัวแทนของความบริสุทธิ์แห่งภูเขาสูงชัน พวกมันอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มนุษย์แทบเข้าไม่ถึง ท่ามกลางหน้าผาหิน ลานหญ้าบนยอดเขา และแนวป่าธรรมชาติ แต่เมื่อหน้าผาที่เคยปลอดภัย กลายเป็นถนน กลายเป็นโครงการพัฒนา
พวกมันไม่ได้แค่สูญเสียบ้าน…แต่กำลังสูญเสียโอกาสในการดำรงเผ่าพันธุ์ไปด้วย
ภาพจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
ลักษณะเฉพาะของ “กวางผา”แม้กวางผาจะดูคล้ายเลียงผา แต่มีขนาดตัวที่เล็กกว่าเกือบครึ่ง
คอเล็กกว่า ขาสั้นกว่า หางยาวกว่า ขนสีน้ำตาลอมเทา และมีแถบสีน้ำตาลเข้มพาดกลางหลัง ที่ปลายขาทั้งสี่มีขนสีขาวคล้ายใส่ถุงเท้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่แยกจากสัตว์ชนิดอื่น
ถิ่นอาศัยของกวางผากวางผาพบได้เฉพาะในภูเขาสูงชันทางภาคเหนือของประเทศไทย เช่น
ดอยอินทนนท์, ดอยม่อนจอง, และ ดอยเชียงดาวในพื้นที่ระดับความสูงประมาณ 1,000 – 4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลพวกมันเลือกอาศัยในป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ทุ่งหญ้า และลานหินโล่งที่มนุษย์ยากจะเข้าถึง
ปัจจุบัน กวางผาอยู่ในสถานะ "เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์" (Vulnerable) ตามบัญชี IUCN Red List และยังได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 โดยจัดเป็น สัตว์ป่าสงวน หนึ่งในชนิดที่สำคัญของประเทศไทย เมื่อยอดเขาไร้เสียงฝีเท้าของกวางผา นั่นอาจหมายถึงการสูญเสียมากกว่าที่เรามองเห็น เพราะการหายไปของพวกมัน ไม่ได้หมายถึงแค่การสิ้นสุดของชนิดพันธุ์…
แต่มันคือสัญญาณเตือนว่า ธรรมชาติกำลังเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ (ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร)
Rain Cover ชิ้นนี้จึงไม่ได้มีไว้แค่เพื่อปกป้องสัมภาระของนักเดินทางแต่เพื่อเป็น “สื่อกลาง” ในการส่งต่อเรื่องราวของผืนป่า เรื่องราวของควายป่า พญาแร้ง กวางผา และสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่ยังรอวันให้โลกได้ยิน “เสียง” ของพวกมัน ทุกการเดินทางของคุณ คือการมีส่วนร่วมปกป้องธรรมชาติ
เราอยากชวนให้คุณมองการเดินป่าหรือการท่องเที่ยวตามธรรมชาติไม่ใช่เพียงการหลีกหนีเมืองใหญ่
แต่เป็นโอกาสในการเชื่อมต่อกับโลกอย่างมีจิตสำนึกเพราะการอนุรักษ์...ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการทำสิ่งใหญ่แต่เริ่มจากการฟังเสียงเล็กๆ ของธรรมชาติและเลือกที่จะเคารพมันในทุกย่างก้าวที่เดิน
ขอบคุณข้อมูลจาก
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
องค์กรที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ผืนป่าและสัตว์ป่าของไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.seub.or.th